ในปัจจุบัน “พลาสติกย่อยสลายได้” เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น จากการที่ผู้คนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลกระทบถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์ป่า ดังนั้น “พลาสติกย่อยสลายได้” จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ แต่ “พลาสติกย่อยสลายได้” มีมากมายหลายชนิดตามกระบวนการผลิต องค์ประกอบ การใช้งาน การเรียนรู้ถึงคุณสมบัติของ “พลาสติกย่อยสลายได้” แต่ละชนิด จึงมีความสำคัญเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง
จำแนกตามกลไกของการย่อยสลายพลาสติก แบ่งได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้
พลาสติกที่แตกสลายออกเป็นชิ้นได้เมื่อเกิดแรงกระทำกับชิ้นพลาสติกนั้นๆ เป็นวิธีการที่ใช้โดยทั่วไปในการทำให้พลาสติกแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ
พลาสติกที่ไม่ได้เติม stabilizing additive (สารเติมแต่งที่ทำหน้าที่เพิ่มความเสถียร) ทำให้เกิดการย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติอย่างช้า ๆ โดยมีออกซิเจน ความร้อน แสงยูวี หรือแรงกลเป็นตัวเร่ง ทำให้เกิดสารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์(hydroperoxide, ROOH) ที่แตกตัวเป็นอนุมูลอิสระ (RO และ OH) เข้าทำปฎิกิริยาบนคาร์บอนในสายพอลิเมอร์ ทำให้เกิดการแตกหักและสูญเสียคุณสมบัติเชิงกล
พลาสติกที่ย่อยสลายได้โดยการทำงานของจุลินทรีย์ ซึ่งเกิดขึ้น 2 ขั้นตอน โดยขั้นแรกจุลินทรีย์จะปลดปล่อยเอนไซม์ ทำให้พอลิเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ และไม่ละลายน้ำ แตกตัวจนมีขนาดเล็กลง และมีขนาดเล็กพอที่จะแพร่ผ่านผนังเซลล์ของจุลินทรีย์เข้าไปในเซลล์ได้ เกิดการย่อยสลายในขั้นต่อไป ได้เป็น พลังงาน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน น้ำ เกลือ แร่ธาตุต่าง ๆ และมวลชีวภาพ (มวลชีวภาพ หมายถึง มวลรวมของสสารที่เกิดขึ้นจากกระบวนการในการดำรงชีวิตและเติบโตของสิ่งมีชีวิต ซึ่งรวมถึงพืช สัตว์ และจุลินทรีย์)
อ้างอิงข้อมูลจาก MTEC
คือ พลาสติกที่ผลิตจากวัสดุจากธรรมชาติ (bio-based plastic) ที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ได้เป็น พลังงาน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และ ชีวมวล โดยที่พลาสติกทั้งหมดหรือบางส่วนนั้นเป็นวัสดุที่สามารถสร้างขึ้นทดแทนได้ใหม่ (renewable raw material) เช่น อ้อย มันสำปะหลัง หรือ เส้นใยจากพืชจึงเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติหมุนเวียน ให้เกิดประโยชน์ และไม่เหลือสารพิษตกค้างทำลายสิ่งแวดล้อม
อ้างอิงข้อมูลจาก สมอ.สาร, 2556